ติดต่อสอบถาม:
คุณวิเชียร 089-232-0091

คุณเมธีณัฐ 061-449-6354

ซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงให้แก่โครงสร้างอาคาร

ภาพการต่อเติมฐานเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวอาคาร

ซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงให้แก่โครงสร้างอาคาร (Structural Rehabilitation)

วิธีการซ่อมแซมเสริมความแข็งแรงให้แก่โครงสร้างนั้น เป็นวิธีการแก้ไขอาคารที่เสื่อมคุณภาพหรืออาคารที่มีอายุการใช้งานนานมากกว่า 30 ปีหรือเกิดจากการหล่อโครงสร้างในตอนแรกไม่ดี ทำให้โครงสร้างเกิดความเสียหายและรับน้ำหนักของตัวอาคารเองไม่ได้ ทำให้ต้องปรับปรุงซ่อมแซม การปรับปรุงซ่อมแซมนั้น ทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมกันมากคือ เสริมเหล็กและเทหุ้มด้วยปูนก่อสร้างที่มีกำลังสูง ตั้งแต่ 650 หรือ 700 กรัม ปูนชนิดนี้เป็นปูนที่มีกำลังอัดสูงและสามารถรับน้ำหนักได้เร็วกว่าปูนโครงสร้างทั่วไป
*หมายเหตุ การซ่อมแซมโครงสร้างต้องมีช่างซ่อมที่ชำนาญงานและมีประสบการณ์ในการทำงานเพื่อที่จะได้ทำงานได้ดีและถูกต้องตามหลักวิศวกรรม

(1) ดินชั้นบนมีลักษณะเป็นดินทรายปนดินตะกอน (Siltysand) สีน้ำตาลแดง สภาพหลวม ถึงปานกลางมีความหนาประมาณ 4-8 เมตร

(2) ดินชั้นถัดไปเป็นดินทรายปนดินตะกอน และกรวด มีความเหนียวเล็กน้อย สภาพแน่นถึงแน่นมาก มีความหนาประมาณ 6-16 เมตร

(3) ดินชั้นถัดไปเป็นดินเหนียวปนดินตะกอน (Silty clay)สีแดงปนน้ำตาล มีส่วนผสมของกรวดและทรายปนอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งคุณสมบัติของดินนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณความชื้น เนื่องจากดินมีอัตราส่วนโพรงสูงจะทำให้น้ำซึมผ่านได้ดี จึงทำให้ความชื้นแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างดินได้อย่างรวดเร็ว ผลการทดสอบการรับน้ำหนักสูงสุดของดินโดยใช้แผ่นเหล็กกด พบว่าการเพิ่มความชื้นในดินจาก 9% เป็น 15% ในขณะที่มีหน่วยแรงกดจะทำให้เกิดการทรุดตัวอย่างรวดเร็ว และความสามารถรับน้ำหนักสูงสุดของดินจะลดลงประมาณ 40% นอกจากนี้ยังพบว่าดินสามารถเกิดการวิบัติ (Collapse) ได้ด้วยน้ำหนักตัวเองถ้าหากดินได้รับความชื้นในปริมาณที่มากพอ

การทรุดตัวของอาคารจากรายงานการสำรวจข้อมูลอาคาร ประเภทกลุ่มอาคารสำนักงาน อาคารเรียนและที่พักอาศัย พบว่าเป็นอาคารที่มีฐานรากชนิดฐานแผ่จำนวน 149 หลัง (66%) เป็นอาคารเก่าแก่และมีปัญหาการชำรุดเนื่องจากการทรุดตัวของฐานรากแผ่ 62หลัง (27%) การก่อสร้างอาคารฐานรากแผ่ ตามปกติความลึกของระดับฐานรากอยู่ต่ำกว่าผิวดินเดิมประมาณ 1.5-3.0 เมตร ซึ่งฐานรากจะวางบนชั้นดินทรายปนดินตะกอน อาคารที่มีปัญหาการทรุดตัว ก็จะเป็นอาคารฐานรากแผ่ที่วางบนชั้นดินทรายปนดินตะกอนนี้ ปัญหาการทรุดตัวของอาคาร จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเมื่อฐานรากเกิดการทรุดตัวไม่เท่ากัน ทำให้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นบนผนังอิฐก่อ และอาจรุกลามเข้าไปในโครงสร้างเสาและคานหากรอยแตกร้าวที่เกิดพัฒนาเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ปัญหาการชำรุดวิบัติมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อฐานรากอาคารเกิดการทรุดตัวไม่เท่ากันองค์อาคารส่วนที่ยึดติดกับฐานรากได้แก่ เสา คานและผนังจะมีแรงกระทำในระดับสูงมาก ทั้งแรงดัด แรงเฉือนและแรงบิดจนเกินกว่าค่า ความเค้นที่องค์อาคารสามารถรับได้ จึงทำให้เกิดรอยแตกร้าวต่าง ๆ ขึ้น ลักษณะรอยแตกร้าวที่เกิดจากการทรุดตัว รอยแตกร้าวจะเอียงเป็นเส้นทแยงมุมประมาณ 45o กับแนวระนาบบนผนังปูน ผนังก่ออิฐ หรือหัวเสา โดยจะเอียงทแยงลงไปทางเสาที่ฐานรากทรุดตัวมาก ขนาดความกว้างของรอยแตกจะขึ้นกับขนาดความแตกต่างของการทรุดตัว ในกรณีที่เป็นผนังวัสดุอื่น เช่น แผ่นไม้อัด ยิปซัมบอร์ด หรือ กระเบื้องกระดาษจะทำให้สังเกตเห็นรอยแตกร้าวในระยะแรก ได้ค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อปัญหาการทรุดตัวมีความรุนแรงมากขึ้น ก็จะปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นที่รอยต่อระหว่างหัวเสาและคาน

การเสริมฐานรากอาคาร

หลักการการเสริมฐานราก (Underpinning)หมายถึงการปรับปรุงฐานรากเดิมเพื่อให้สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้โดยปลอดภัย ในการเสริมฐานรากโดยทั่วไปจะเป็นการเพิ่มความลึกหรือจำนวน ของเสาเข็มหรือการปรับปรุงคุณภาพดินใต้ฐานรากหรือการขยายขนาดของฐานรากโดยมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้

    1. เพื่อแก้ไขความเสียหาย (Remedial underpinning) จากปัญหาการชำรุดของฐานราก
    2. เพื่อป้องกันความเสียหาย(Precautionary underpinning)จากการก่อสร้างอาคารข้างเคียงการดำเนินงานเสริมฐานรากอาคารต่าง ๆ จะประสบผลสำเร็จมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพของดินใต้ฐานรากและวิธีการเสริมฐานราก ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน ต้องอาศัยความรู้ทางด้านปฐพีศาสตร์ และความเข้าใจในพฤติกรรมการรับแรงต่าง ๆ หากการดำเนินงานสามารถแก้ไขปัญหาของอาคารได้ก็จะถือว่าประสบผล สำเร็จ